วันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2556

สัตว์เลี้ยงน่ารัก


สัตว์เลี้ยงน่ารัก

                                     

        สัตว์เลี้ยง คือสัตว์ที่ถูกควบคุมโดยมนุษย์ ในเรื่องการให้อาหาร การคุ้มครองดูแล การผสมพันธุ์ของสัตว์ตามต้องการได้ และสร้างความผูกพันต่อกันระหว่างคนกับสัตว์ จึงเรียกว่าสัตว์เลี้ยง แต่จะไม่นับสัตว์ที่อยู่ในสวนสัตว์ สัตว์ที่อยู่ในห้องทดลองว่าเป็นสัตว์เลี้ยงด้วย เหตุเพราะไม่มีส่วนผูกพันกับชีวิตและความเป็นอยู่ของคนโดยตรง สัตว์เลี้ยงคือมิตร คือเพื่อนผู้ซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อเจ้าของ [1]

จริงๆ แล้วมนุษย์ได้เริ่มทำการเลี้ยงสัตว์เมื่อประมาณ 2 หมื่นปีมาแล้ว โดยมีการนำเอาลูกสุนัขป่ามาเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงในบ้านเพื่อเป็นเพื่อนเล่น เชื่อว่าแหล่งที่เริ่มเลี้ยงสุนัขอยู่ในแถบยูเรเซียและเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ ต่อมาเมื่อประมาณ 1 หมื่นปีมานี้ มนุษย์เริ่มเลี้ยงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆ เช่น โค แพะ แกะ และสุกร เพื่อเป็นแหล่งของอาหารและเครื่องนุ่งห่ม และหลังจากนั้นจึงได้มีการเลี้ยงสัตว์ชนิดอื่นๆ เพิ่มขึ้น เช่น สัตว์ปีก และแมลงต่างๆ เวลาและสถานที่ที่เริ่มทำการเลี้ยงสัตว์สำคัญบางชนิด     



        
                            
                     
           



                    




                     





 อุปนิสัย  โดยปกติในถิ่นที่อยู่สุนัขบางแก้วอยู่ใกล้แม่น้ำสุนัขชอบอาบน้ำ  โดยเฉพาะฤดูร้อนเมื่อวิ่งเล่นแล้วจะลงไปอาบน้ำมีนิสัยรักความสะอาดไม่ถ่ายอุจจาระ  ปัสสาวะในบ้านที่อยู่เลย  ต้องออกไปถ่ายนอกบ้าน  แม้ในถิ่นกำเนิดที่อยู่แพหรือบ้านน้ำท่วมใต้ถุนในฤดูฝน สุนัขบางแก้วจะว่ายน้ำไปถ่ายตามจอมปลวก  หรือขึ้นบ้านขอนไม้หรือเรือใครเผลอมาผูกไว้  นิสัยดุร้ายต่อสู้แม้กระทั้งสุนัขที่โตกว่ามากๆ  รักเจ้าของ  มีความจำดีเยี่ยม(เหมือนนกพิราบแข่ง) ขี้อิจฉา  อยากได้รับการตอบสนองจากเจ้าของก่อนสุนัขตัวอื่นๆ  หากท่านเลี้ยงสุนัขไว้ในบ้านหลายๆ  ตัว  ถ้าเราแสดงความรักสุนัขตัวอื่นๆ  เมื่อลับหลังเราสุนัขบางแก้วจะเข้าไปเล่นงานสุนัขตัวนั้นทันทีการให้อาหารก็เช่นกันถ้าให้ตัวอื่นก่อนมันจะเข้าไปแย่งหรือกัด  สุนัขตัวไหนที่มันเกลียดแล้วมันจุถูกรังแก  อยู่ตลอดเวลา
                การกินอาหาร  เนื่องจากถิ่นกำเนิดน้ำท่วม  ราฎรในหมู่บ้านมีอาชีพประมง  ดังนั้นอาหารประจำของสุนัขบางแก้วคือปลา  แต่สุนัขบางแก้วกินอาหารได้ทุกชนิดไม่เลือก  ยิ่งสด  ยิ่งคาว  ยิ่งดี  ลูกได่เป็นอาหารที่โปรดปรานมากยิ่งตอนคลอดกินทั้งขน  ในชั่วพริบตาเดียว  พอสุนัขอายุได้เดือนเศษๆ  แม่สุนัขจะกัดลูกไก่มาให้ลูกเล่นหรือ  ฝึกหัดให้ลูกกิน  เหมือนแม่แมวสอนลูกให้จับลูกโดยหาหนูที่ยังกัดไม่ตายเดินโซเวให้ลุกเล่น  หัดจับ  ผู้เขียนเคยฝึกหัดสุนัขบางแก้วจนเชื่องไม่ให้กินลุกไก่  ขนาดลูกไก่ขี้หลังยังไม่กัด  แต่พอมีลูกแล้วไม่ไว้ใจไม่ไก้ทั้งไก่เล็กไก้ใหญ่  ถ้าเผลอจะถูกกัดทันที  ผู้เลี้ยงสุนัขบางแก้วท่านหนึ่งบอกผู้เขียนว่าได้สังเกตสุนัขบางแก้วที่เลี้ยงไว้  เมื่อมันกินอาหารอิ่มแล้วถ้ามีเหลือกินจะนำมาฝังดินไว้เพื่อ  กินวันต่อไป
                การล่าเหยื่อ  สุนัขบางแก้วเมื่อพบสิ่งที่เหม็น  จะลงไปนอนคลุกให้กลิ่นเหม็นติดตามตัว  เพื่ออำพลาง  เหมือนทหารพราน  แล้วก้หมอบคลานย่องเพื่อล่าเหยื่อ  เช่น  ไล่กัดไก่  จิ้งเหลน  กิ้งก่า  เป็นต้น  จมูกไวมาก  ดมกลิ่นเก่ง  ไล่ตามเหยื่อ  อย่างกระชั้นชิด  จึงเหมาะที่จะนำเข้าป่าล่าสัตว์
                การฟังเสียง  สุนัขบางแก้วยังมีสัญชาติญาณความเป็นป่า  อยู่มากทีเดียว  เวลานอนจะเอาหูติดพื้นดิน  เพื่อฟังเสียง  ดังนั้น  จึงฟังเสียงได้ระยะไกล  สุนัขบางแก้ว  จะทราบว่ามีคนเดินมา  ใกล้ไลก  เช่น  สามารถแยกเสียงเดินออกว่าเป็นเจ้าของหรือไม่  สุนัขบางแก้วยังจำเสียงรถยนต์  ที่ติดเครื่องอยู่ทุกวันได้พร้อมทั้งเสียงแตรรถด้วย  สุนัขบางแก้วจะวิ่งไปรับเจ้าของเมื่อ  ได้ยินเสียงเครื่องรถยนต์หรือเสียงแตรก่อนจะถึงบ้าน
                การเห่า  สุนัขบางแก้วพบเห็นเสมอที่กัดโดยไม่เห่า  แต่ด้วยสัญชาตญาณแล้วจะเห่า  เมื่อพอสิ่งแปลกปลอมเข้ามาใกล้หรือตกใจเสียงของการเห่าจะไม่เหมือนกัน  ถ้าเห่าคนเข้าบ้านเสียงหนึ่งและสัตวืเข้าบ้านจะอีกเสียงหนึ่งถ้าหากท่าเลี้ยงด้วยความสนใจแล้ว  ท่าจะแยกเสียงเห่าออกแม้กระทั้งว่าเสียงเห่านั้นอยู่ไกล้หรือไกลหรือร้องทักเจ้าของหรือคนรู้จักการเห่าของสุนัขบางแก้วย่อมมีความหมายเสมอ
                การผสมพันธุ์  สุนัขบางแก้วเป็นสุนัขพันธุ์ไทย  ที่ได้สายเลือดจากสุนัขสุนัขจิ้งจอก  จึงทำให้คงสภาพธรรมชาติ  คือ  จะมีการผสมพันธุ์ปีละครั้ง  หรือเรียกว่าเป็นฤดุผสมพันธุ์  คือ  หน้าหนาว(ตุลาคม – มกราคม)  สุนัขบางแก้วจะเป็นสัดอยู่ประมาณ 1 สัปดาห์และช่วงการผสมพันธุ์จะอยู่ในสัปดาห์ที่ 2 (เมื่อเป็นสัก 7 – 14 วัน)  เมื่อได้รับการผสมพันธุ์แล้วแม่พันธุ์จะตั้งท้อง 9 สัปดาห์ (ประมาณ 60 วันก็จะคลอดลูก)
                สุนัขบางแก้วตัวเมียจะเจริญเติบโตเป็นสาวอย่างรวดเร็ว  และจะเป้นสัดครั้งแรกเมื่ออายุได้ 8 เตือน  ผุ้เลี้ยงอน่าให้ผสมพันธุ์เพราะสุนัขบางแก้วอายุยังน้อยเจริญเติบโตยังไม่เต็มที่หากให้ผสมพันธุ์ตั้งท้องตอนนี้จะทำให้แม่สุนัขแคระแกรนทำให้ไม่สวยงาม  การผสมพันธุ์สุนัขพันธุ์บางแก้วตัวเมียควรผสมพันธุ์  เมื่อเป็นสัดครั้งที่สองซึ่งจะมีอายุได้ปีกว่าแม่สุนัขจะโตเมที่ให้ลูกที่สวยงาม  ถ่ายทอดกรรมพันธุ์ที่ดีให้แก่ลูกๆ  และแม่ก้ไม่แคระแกรน  สำหรับสุนัขบางแก้วตัวผู้ควรให้ผสมพันธุ์  เมื่ออายุ 2 ปีขึ้นไป  ซึ่งจะเป็นอายุที่พ่อ สุนัขโตเมที่  แข็งแรงผสมพันธุ์จะติดให้ลูกดกและถ่ายทอดกรรมพันธุ์ที่ดีแก่ลุกที่เกิด
                การคลอดลูก บางครั้งถ้าปล่อยให้คลอดเองสุนัขบางแก้วจะขุดรูก่อนคลอดลูก  สัก 1-2 อาทิตย์มันจะหาที่ขุดรูโดยไปลองขุดดูหลายที่แล้วก็เลือกเอาที่หนึ่ง  การขุดดินจะขุดทุกวัน  โดยใช้ 2 เท้าหน้า  โกยดินให้เป็นโพรงก่อนที่จะได้โพรงนี้ลำบากมาก  ผู้เขียนเคยนั่งดูมันดกยดิน  มีทั้งนอนตะแคงข้างโกยบ้อง  โกยด้านบนก็นอนหงายใช้ปากช่วยกัดดินบ้าง  ปากโพรงจะมีขนาดเท่าตัวลอดได้  ด้านในขนาดที่พอหนุนตัวกลับได้  ดพรงนี้ป้องกันภัยให้ลูกเป็นอย่างดี  พอลูกมีอายุประมาณหนึ่งเดือนตัวแข็งแรงที่สุด  จะวิ่งตามแม่ออกมาพ้นปากโพรงได้  ระยะคลอดลูกใหม่ๆ  จุดุมาก  สัวต์ที่เข้ามาใกล้ๆ  ดพรงมันจะกระโดดใส่ทันที    สุนัขตัวโตๆ  ยังต้องหนีสุนัขที่เลี้ยงในบ้านด้วยกันต้แงคอยหลบ  มิฉะนั้นเจ็บตัว
                โดยปกติแล้วสุนัขบางแก้วจะคลอดลุกในกองไม้หรือในห้องมืดๆ  แม่สุนัขจะช่วยเหลือตัวเองได้ในการคลอดลูก  ผู้เลี้ยงไม่ต้องเป็นห่วงหากพบว่าแม่สุนัขท้องได้หายไปให้ไปตามหาบริเวณที่กล่าวมาแล้วจะพบว่าคลอดลูกแล้ว
                ความจำบ้าน สุนัขบางแก้วเมื่อโตแล้วจะรักเจ้าของและถิ่นที่อยู่มาก  แม้จะจากไปนานๆ  ก็ยังจำได้  ผู้เขียนเคยให้สุนัขเพื่อนไป เพราะเบื่อที่มันกินลูกไก่พอหลุดโซ่จากเจ้าของใหม่  มันจะรีบหาทางกลับทันที
                อายุ   สิ่งมีชีวิตย่อมมีอายุขัยของตัวเอง  คือ  แก่ตาย  สุนัขบางแก้วที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจะมีอายุยาว 10 กว่าปีขึ้นไป  หากเจ้าของไม่เอาใจใส่เลี้ยงดูจะมีอายุประมาณ 7 -8 ปี  เท่านั้น
                หากเลี้ยงดูสุนัขบางแก้วเป็นอย่างดี  จาอายุแก่สิบกว่าปีขึ้นไปจะพบว่าจะพบขนบางแห่งยาวขึ้น  เช่น  ที่คิ้วขนจะยาวขนที่ที่บริเวณนิ้วเท้าจะยาวออกมาขนคอและลำตัวจะพบว่า  มีบางส่วนยาวออกผิดปกติ  อุปนิสัยก็จะเปลี่ยนไป  คือเชื่องช้าลง  ความดุร้ายลดลง  ฟังจะหัก  ต้องให้อาหารนิ่มๆ  จึงมักจะพบเสมอว่าสุนัขบางแก้วลมตายต่อหน้าเจ้าของเรียกว่าแก่ตายนั้นเอง 

                 
                                                         


    แมววิเชียรมาศ  เป็นแมวที่เก่าแก่โบราณชนิดหนึ่ง  จากการได้รับการบันทึกที่สมุดข่อยว่ามีต้อนกำเนิดมานานที่ประเทศไทย  ซึ่งในปัจจุบันมีหลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นแมวเก้าแต้ม  เพราะว่ามีลักษณะจุดสีดำหรือว่าสีน้ำตาลตามบริเวณอวัยวะของร่างกาย  ตามจริงแล้วแตกต่างไปจากแมวเก้าแต้มที่ได้บันทึกในสมุดข่อย  ซึ่งได้สูญพันธ์ไปนานแล้ว  เป็นแมวชนิดแรกที่ได้แพร่แพร่ไปยังต่างประเทศจนได้รับการยอมรับ  ในสมัยรัชกาลที่ 5 เนื่องด้วยแมววิเชียรมาศนั้นมีลักษณะเด่นที่สวยงาม  อย่างเช่น  ตาสีฟ้า  และมีสีชาหรือว่า สีน้ำตาลอ่อน  ขึ้นตามบริเวณอวัยวะต่างๆ เป็นสัญลักษณ์ที่โดเด่น  ลำตัวเรียวยาว และมีนิสัยที่น่ารัก  ขี้อ้อน  และสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยเป็นอย่างมาก
                ตามต้นกำเนิดก็ไม่ทราบแน่ชัดว่าแมววิเชียรมาศกำเนิดในที่ได้  แต่มีการบอกไว้ว่ามาจากวัดแห่งหนึ่งในประเทศไทยและผสมพันธุ์กันมา  ช่วงแรกอาจจะยังไม่ได้เผยแพร่นักเพราะว่าลักษณะแมวชนิดนี้มีความสวยงาม  จึงได้เลี้ยงแต่ในราชวังและเจ้าขุนมูลนายต่างๆ  ประชาชนยังไม่เลี้ยง และมีความเชื่อว่าการเลี้ยงแมวชนิดนี้ให้โชคลาภ และเป็นศิริมงคลกับผู้ที่เลี้ยง
                การออกสู่ต่างประเทศนั้นเกิดในปี พ.ศ. 2427  เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ได้ประราชทานลูกแมวคู่หนึ่งให้แก่ทูตอังกฤษ  ชื่อว่า  โอเวน  กูลด์ (Mr. Owen Gould) และได้ให้แมววิเชียรมาศกับ  น้องสาวของตน  คือ วัลเลย์ (Mrs. Valey) แล้วทำการเลี้ยงดูแล  และได้ส่งเข้าประกวดแมวที่งาน The Crytal Palace London ที่พระราชวังคริสตัล  ครั้งนั้นเองทำให้การประกวดแมวที่ชนะเลิศหรือแมววิเชียรมาศ  ในปี พ.ศ. 2444  ทำให้ชาวอังกฤษได้ตื่นตาตื่นใจกับแมวไทยเป็นอย่างมาก  และมีผู้คนให้ความสนใจอย่างมากมาย  ซึ่งก่อนั้นมาในปี พ.ศ. 2428 ไวยาน (Mrs. VyVyam)  ก็ได้นำเอาแมววิเชียรมาศไป 1 คู่ที่ประเทศอังกฤษเช่นกัน  และในระยะเวลาต่อมาได้มีการเลี้ยงแมวชนิดนี้อย่างแพหลายอย่างมากในประเทศอังกฤษ  จนได้รับเรียกชื่อว่า  Siamese Cat  มีการตั้งชมรมผู้เลี้ยงแมววิเชียรมาศในประเทศอังกฤษด้วย  ทำให้ประเทศไทยนั้นมีชื่อเสียงขึ้นมาทันที
                ต่อจากนั้น  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังไดทรงมอบแมวชนิดนี้ไปยังทูตประเทศต่าง  และประเทศเพื่อนบ้าน  อย่างเช่น อเมริกา  และประเทศอื่นๆ  จนมีการพัฒนาสายพันธุ์ได้หลากหลายสายพันธุ์  เพื่อเป็นการลบข้อบกพร่องของแมวที่มีแต่ดั้งเดิม  อย่างเช่น  หูกลม  หางคตงอ  จะสามารถขจัดข้อบกพร่องลงไปจนแทบจะไม่มีสายพันธุ์เดิมมีให้เห็นในปัจจุบัน  ได้มีการพัฒนาให้เข้ากับสถาพของประเทศนั้นๆได้  ที่ได้รวบรวมมา  ถึง 8 สายพันธุ์ และมีลักษระที่แตกต่างกันไปแต่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของแมววิเชียรมาศอยู่นั้นเอง
  แมววิเชียรมาศจะเป็นแมวที่มีลักษณะโดเด่นมีตาสีฟ้าเป็นประกาย  สีขนแต้มที่อวัยวะต่างๆ  เป็นสีน้ำตาลเข้มไปจนถึงสีเทา ตามอวัยวะทั้ง 8 – 9 ตำแหน่ง จนหลายคนเรียกว่าแมว  “เก้าแต้ม”  แต่ตามความจริงนั้นไม่ใช่เป็นความเข้าใจผิด  แมวเก้าแต้มจะมีอีกลักษณะหนึ่ง  มีโครงสร้างของลำตัวที่แข็งแรงได้สัดส่วนของลำตัว  เวลาเดินนั้นมีลักษณะที่สง่างาม นิสัยขี้อ้อน  ช่างประจบประแจง  มีความเฉลียวฉลาด  มีไหวพริบ  กระฉับกระเฉงร่างเริง รักเจ้าของ  ไม่ชอบอยู่ตัวเดียว  ติดเจ้าของ และสุภาพมาก
                ลักษณะของแต้ม  ทั้ง 9 จะมีอยู่ตามอวัยวะต่างๆ  โดยปกติสีของแมวจะเป็นสีขาว สีที่แต้มไปนั้นจะเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือว่าสีช็อตโกแลต  หรือว่าสีดำไปหาเทา  1 จะอยู่ใบหน้า  เท้าของแมวทั้ง 4  หู  ทั้งสองข้าง  หางและข้างอย่างล่ะ  หนึ่ง  และที่อวัยวะเพศส่วนมากจะปรากฏที่เพศผู้  แต้มที่เกิดขึ้นนี้เป็นยีนเด่นของสายพันแมววิเชียรมาศ  หากไปผสมพันธุ์กับแมวชนิดอื่นแล้วจะมีการถ่ายทอดทางพันธุกรรมไปยังลูกแมวด้วย
                หัว : แมววิเขียรมาศจะมีลักษณะของหัวยาวเป็นรูปสามเหลี่ยมรูปลิ่ม ได้สัดส่วน  ด้านหลังของหัวแบนราบ  กระดูกใต้คางไม่แคบ  สันที่อยู่ระหว่างตาจะกว้าง 
                หู : ฐานหูกว้าง  ตั้งชัน  ขนที่หูมีเล็กน้อยไม่หนา  ลักษณะหูใหญ่ปลายไม่แหลมมาก  เหมือนรูปสามเหลี่ยม  ลักษณะดังเดิม  หูจะไม่แหลมแค่กลม
                จมูก : จมูก  ยาวแหลม  เป็นรูปตัว Y
                ฟัน : ฟันล่างและฟันบนขบกันแนบสนิทเกลือเป็นเส้นตรง
                ลำตัว : เป็นแมวที่หุ่นดี  รูปร่างเรียวยาว  ได้สัดส่วนของลำตัว  คอยาว  ขาหลังจะยาวกว่าขาหน้าเล็กน้อย
                ตา : เป็นลักษณะเล่นของแมววิเชียรมาศ  เป็นสีตาสีฟ้า  ยิ่งเข้มยิ่งดี  เป็นประกายสามารถที่จะตกทอดไปยังลูกหลาน
                หาง : หางยาว  ชีขึ้น  บริเวณปลายหางจะสีเข้มแล้วจะอ่อนลงเมื่อถึงโคลนหาง
                ขน : ขนสั้นและนุ่ม  หา  แต่จะไม่ฟู  มีการเปลี่ยนหากตอนเล็กยังเป็นสีอ่อนเมื่อโตขึ้นสีจะค่อยๆ  เข้มขึ้นเมื่ออายุ 5 – 12 เดือน
                ลักษณะนิสัย : เป็นแมวที่ติดเจ้าของชอบเดินตามไปไหนมาไหน  ขี้อ้อน  และมีความฉลาด  ปราดเปรียว  รักอิสระ มีความเป็นส่วนตัว  ร่างเริงซุกซน  แต่  สุภาพ เรียบร้อย  ไม่ค่อยชอบอยู่ตามลำพัง  สามารถที่จะพูดคุยหรือส่งเสียงร้องที่ไพเราะ  สามารถพูดคุยกันเราได้ดี

               

             








              ประวัติความเป็นมาของปลากัด
“ปลากัด”เป็นที่รู้จักกันดีของคนไทยมาเป็นเวลาช้านาน เนื่องจากว่าปลากัดมีลักษณะพิเศษ คือ เป็นปลานักสู้ ทรหด อดทน ซึ่งเป็นเหตุให้คนนำมา “กัดแข่งขันกัน” กลายเป็นเกมกีฬาที่คนไทยนิยมเล่นกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยเฉพาะคนในท้องถิ่นชนบท ว่ากันว่าเมื่อเสร็จจากงานประจำคือ อาชีพการเกษตร ผู้คนในแต่ละชุมชนตามชนบทต่าง ๆ มักจะหอบหิ้วเอาปลากัดตัวเก่งของตัวเองออกมากัดแข่งขันกัน
ในปี พ.ศ.2383 พระมหากษัตริย์ของประเทศไทย ได้มอบปลากัดแก่นายแพทย์ Theodor Cantor แห่ง Bengel Medical Service ผู้ซึ่งได้วาดภาพและบันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับปลาชนิดนี้ไว้ ต่อมาในปี พ.ศ.2392 นาย นายแพทย์ Theodor Cantor ได้ตั้งชื่อปลาชนิดหนึ่งว่า Macropodus pugnax ,var. ซึ่งเกิดความผิดพลาดขึ้น เนื่องจากความสับสนระหว่างชนิดของปลาที่มีการค้นพบ จนกระทั้งปี พ.ศ.2452 C.Tate Regen ได้ทำการตรวจสอบอีกครั้ง และได้ตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ว่าBetta splendens ซึ่งคำว่า Betta มาจากคำว่า “Bettah” มาจากตำนานทางประวัติศาสตร์ หมายถึง ชนชาติของผู้ที่เป็นนักรบ ส่วนคำว่า Splendens มาจากคำว่า “Splen did” มีความหมายตรงกับคำว่า “Beautiful” ดังนั้นคำว่า “Betta Splens” จึงหมายถึง “นักรบผู้สง่างาม”
ปลากัดที่พบและสามารถรวบรวมข้อมูลได้ในปัจจุบันมีจำนวนมากกว่า 40 สายพันธุ์ที่พบในประเทศไทย มีไม่น้อยกว่า 11 สายพันธุ์ ดังนี้ Betta abbreviata,Betta anabatoides,Betta belliea,Betta cocina,Betta imbellis,Betta macrophthalma,Betta Persephone,Betta pugnax,Betta smaragdina,Betta splendens, และ Betta tessyae เป็นต้น ซึ่งปลากัดที่เรามักพบเห็นและเรียกเป็นปกติว่า “ปลากัด” นั้น ไม่ว่าจะเป็นปลากัดหม้อ หรือปลากัดจีนจะหมายถึงปลากัดที่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Betta splendens และมีชื่อสามัญว่า Siamese Fighting Fish นั้นเอง
ลักษณะทั่วไปของปลากัด
ปลากัดเป็นปลาพื้นเมืองของประเทศไทย มีรูปร่างสวยงาม พบแพร่กระจายทั่วไปทุกภาคของประเทศ และสำหรับในต่างประเทศก็พบว่ามีปลากัดกระจายอยู่ทั่วไปเช่นกัน เช่น มาเลเซีย พม่า ลาว กัมพูชา และจีน เป็นต้น
ตามธรรมชาติปลากัดจะมีสีน้ำตาลขุ่น หรือสีเทาแถบเขียวมีลายตามลำตัว ครีบและหางสั้น มีนิสัยก้าวร้าว ตัวผู้ครีบและหางจะยาวกว่าตัวเมียเล็กน้อยและยังมีสีสันสวยงามมากกว่าตัวเมียอย่างเห็นได้ชัด ปลากัดจะอาศัยอยู่ตามบริเวณแหล่งน้ำที่ค่อนข้างใส น้ำนิ่งหรือไหลเอื่อย ๆ บริเวณผิวน้ำ เช่น ทะเลสาบ หนอง บึง แอ่งน้ำ ลำคลอง ที่มีพันธุ์ไม้น้ำขึ้นประปราย เป็นต้น ปลากัดมีลำตัวแบนข้าง ลำตัวยาว หัวเล็ก มีขนาดเฉลี่ย 5-6 เซนติเมตร ชอบกินอาหารจำพวกสัตว์ขนาดเล็กหรือตัวอ่อนของแมลง เช่น ลูกน้ำ,ไรแดง,ไรน้ำ,หนอนแดง,เป็นต้น แต่ถ้านำมาเลี้ยงก็สามารถฝึกให้กินอาหารสำเร็จรูปได้ ปลากัดจะมีฤดูการผสมพันธุ์ในช่วงเดือน พฤษภาคม – กันยายน โดยปลาจะจับคู่กันเองตัวต่อตัว ตัวผู้จะสร้างรังโดยการพ่นฟองขึ้นมาตามผิวน้ำเรียกว่า “หวอด” ตัวเมียที่พร้อมจะวางไข่ก็จะเข้ามาวางไข่โดยตัวผู้จะเป็นตัวรัดตัวเมียให้ปล่อยไข่ออกมาพร้อม ๆ กับปล่อยน้ำเชื้อของตัวเองออกมา จากนั้นตัวผู้จะเก็บไข่มาไว้ในรังของตัวเอง “หวอด” และเฝ้าดูแลไข่จนกระทั้งไข่ฟักเป็นตัวออกมา
ปลากัดยังมีอวัยวะพิเศษอย่างหนึ่ง ที่ช่วยในการหายใจ นอกจากเหงือก อวัยวะนั้นมีชื่อว่า(Labyrinth organ) อยู่ในโพรงอากาศหลังช่องเหงือก ซึ่งทำให้ปลากัดสามารถอยู่ในน้ำที่มีอากาศน้อยได้เป็นอย่างดี




                         





       
                                                                                                                                                                                                                                                                     
                                                                                                                                                     

                                      การเลี้ยงดู 
       ปลาหมอสี เป็น ปลาที่เลี้ยงง่าย มีความอดทนและกินอาหารง่าย ซึ่งเป็นอาหารจำพวก ไรทะเล ไรน้ำนางฟ้า หนอนแดง กุ้งฝอย ปลาขนาดเล็ก ไส้เดือน หรือ อาหารสำเร็จรูป หากต้องให้ปลามีสีสันเด่นชัดก็อาจให้ อาหารประเภทเร่งสี โดยแนะนำว่า ไรน้ำนางฟ้าไทย ที่มีสารเบต้าแคโรทีน สามารถ เร่งสีปลาหมอสี ได้ดีที่สุดในจำนวน อาหารปลาหมอสี ทั้งหมด

       ปลาหมอสีที่เลี้ยงด้วยไรน้ำนางฟ้า 
การเลี้ยงปลาหมอสี เป็น ปลาที่นิสัยรักหวงถิ่นที่อยู่ และก้าวร้าวจะไล่กัดปลาตัวอื่นๆทันทีที่เข้ามาใกล้ในบริเวณอาณาจักรของตัวเองที่ทำไว้ ดังนั้น การเลี้ยงปลาหมอสี หลายพันธุ์รวมกันในตู้ต้องคำนึงถึงขนาดของปลาด้วย ควรจะมีขนาดใกล้เคียงกัน ตู้ควรมีขนาดใหญ่ และมีก้อนหินจัดวางไม่ควรเลี้ยงรวมกับปลาตระกูลอื่น เช่น ปลาทอง ปลาเทวดา(ปลาในตระกูลปอมปาดัวร์) ฯลฯ
การย้อมสี หมายถึง การใช้ฮอร์โมนเพศไปเร่งสีปลานั่นเอง โดยส่วนใหญ่ที่ใช้คือฮาโลคริสติก ซึ่งก็คือยาฮอร์โมนเพศชายนั่นเอง โดยมีขายตามร้านขายยาทั่วไป การใช้ก็นำมาคลุกกับอาหารปลาให้ปลา่กินและนี่ก็เป็นวิธี การเร่งสีปลาให้มันเกิดขึ้นเร็วเกินกว่าวัยสมควรจะเป็น ซึ่งการย้อมสีนี้แบ่งได้อีกหลายแบบ ถ้าจะย้อมสีแดงก็ใช้โปรตีนเรด โปรตีนพิ้งค์ นำมาคลุกกับอาหารในอัตราส่วนที่พอเหมาะให้ปลากินและปลาก็จะเปล่งสีสันออกมาพอสมควรเพราะสารโปรตีนพวกนี้จะไม่มีอันตรายและพิษภัยใดๆ แต่ถ้าเป็นพวกฮอร์โมนเพศ ถ้าให้ปลากินตั้งแต่ยังเล็กและเป็นเวลานานๆ จะทำให้ปลาเหล่านี้เปลี่ยนเป็นเพศผู้เพราะฮอร์โมนตัวนี้จะทำหน้าที่เปลี่ยนรังไข่ ทำให้รังไข่ฝ่อและจะทำให้ครีปของปลาตัวเมียยาวเหมือนตัวผู้ ดังนั้นการเร่งสีปลาที่ปลอดภัยที่สุดควรเลี้ยงด้วย ไรน้ำนางฟ้า ซึ่งเป็นอาหารตามธรรมชาติจึงจะดีที่สุดครับ

        การเลี้ยงปลาหมอสี ( ข้อมูลเบื้องต้น สำหรับ นักเลี้ยงปลา หมอสี มือใหม่ )
1.นิสัยของ ปลาหมอสี เมื่อเรารู้นิสัยของ ปลาหมอสี แล้วเราต้องรูด้วยว่า ปลาหมอสี กินอะไรปลาหมอสที่โตแล้วจะ กินหนอนนก หรืออาหาร ปลาหมอสีโ ดยเฉพาะเม็ดใหญ่ ปลาหมอสี ตัวเล็กก็เริ่มจากการ กินหนอนแดง ก่อนแล้วถ้าโตจนสามารถ กินหนอนนก ได้ก็เอาหนอนนกให้มันกินจะเสริมด้วยกุ้งก็ได้ เพราะโปรตีนจากกุ้งแล้วหนอนนก หนอนแดงนั้นจะทำให้ปลาหมอสีโตเร็วและยังเป็นการทำให้ปลาหมอสี มี โหนกใหญ่

       2.ตู้ปลา สำหรับ เลี้ยงปลา
ตู้ที่จะเลี้ยงปลา ที่ไม่ใหญ่เกินไปหรือเล็กเกินไป ติดเครื่องอุณหภูมิ ให้ปลาเพื่อปรับอุณหภูมิให้ปลา ติดเครื่องกรองน้ำให้ปลามีให้น้ำขุ่นจนเกินไป ใส่หินให้ปลาเพราะปลาหมอสีจะชอบเล่นออมหิน แล้วการติดไฟให้ปลา การติดไฟให้ปลานั้นจะต้องเป็นไฟสีชมพู เป็นไฟสำหรับ ปลาหมอสี โดยเฉพาะ เพราะถ้าเรานำ ไฟที่ไม่ใช่ไฟใส่ปลามาใส่จะทำให้ ปลาหมอสี ตาบอด ได้ จึงแนะนำ ไฟจัดตู้ปลา ที่ เป็น ไฟเฉพาะ สำหรับ เลี้ยงปลาหมอสี เท่านั้น

การดูแล และ ควรพึงปฏิบัติ กับภาระกิจ เลี้ยงปลาหมอสี อ่านสักนิด ก่อนคิด จะเลี้ยง เจ้าหมอสี (รัก และ เอาใจใส่ หนึ่งชีวิต ใน กำมือ ของคุณ )
หลักทั่วไปในการเลี้ยงหมอสีก็เหมือนกันกับการเลี้ยงปลาอื่นๆ คือ
1. น้ำสำหรับ เลี้ยงปลาหมอสี นั้น น้ำต้องสะอาดไม่ควรมีเชื้อโรค ห้ามใช้น้ำประปาที่เปิดจากก๊อกน้ำโดยตรง เฉพาะคลอรีนและปูนที่อยู่ในน้ำจะฆ่าปลาได้ในเวลาอันรวดเร็วควรพักน้ำประปาไว้สัก 2-3 วันจึงนำมาใช้
2. ใช้ เครื่องกรองน้ำ ซึ่งหาซื้อได้ตามร้านทั่วไปเลือกให้เหมาะกับขนาดของตู้
3. ขนาดของ ตู้เลี้ยงปลาหมอสี ควรจะใหญ่สักหน่อย ถ้าเลี้ยงพวก หมอสีพันธุ์เล็ก ความยาวของตู้ไม่ควรต่ำกว่า 24 นิ้ว ถ้าเป็นพันธุ์ใหญ่ก็ไม่ควรต่ำกว่า 36 นิ้ว ควรมีสัก 2 ตู้ เพื่อเป็นตู้พักปลา 1 ตู้ ตู้เลี้ยง 1 ตู้
4. อาหารปลาหมอสี กินอาหารสำเร็จรูปได้ดี ซึ่งเราหาซื้อได้ทั่วไปแต่ถ้าที่บ้านใกล้แหล่งเพาะยุงหรือใกล้บริเวณที่มี ลูกน้ำลูกไรมาก และหาได้สะดวกก็ให้ลูกน้ำ ลูกไร เป็นอาหารจะดีมากทั้งประหยัดเงินและมีอาหารที่มีคุณค่าดี
5. ก้อนหิน ก้อนกรวด ที่จัดลงไปในตู้นั้นควรจะทำความสะอาดให้ดี ก้อนหินก็ควรจะแช่น้ำลดความเป็นด่างลง ก่อน จัดลงตู้
6. ตู้ปลาหมอสี ควรจะตั้งอยู่ใกล้กับที่พักน้ำเพื่อเปลี่ยนน้ำใน ตู้ปลา ได้สะดวก ปัญหานี้ดูเหมือนเล็กแต่ก็มีหลายๆรายที่เลิกเลี้ยงปลา เพราะต้องเปลี่ยนน้ำในตู้ปลาบางรายถึงขั้นทะเลาะกันเพราะเกี่ยงกันเปลี่ยนน้ำตู้ปลา บางรายถูกคำสั่งห้ามเลี้ยงหลังจากการเปลี่ยนน้ำตู้ปลาผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เพราะขณะ เปลี่ยนน้ำตู้ปลา บริเวณระหว่างที่พักน้ำกับตู้ปลาจะกลายเป็นเขตอันตรายสูงสุดต่อชีวิตของคนแก่และเด็ก รวมทั้งสตรีมีครรภ์ไปในทันที การลื่นหกล้มในบริเวณนี้จะเกิดขึ้นบ่อยมาก
7. เวลา ถ้าคุณต้องออกจากบ้านตั้งแต่ตีห้าครึ่งและกลับถึงบ้านประมาณไม่ถึงสี่ทุ่มดีในวันปกติ วันเสาร์ต้องตื่นสิบโมงเช้าเพื่อนอนชดเชยพอตื่นก็ต้องทำงานบ้านจิปาถะที่ค้างตั้งแต่จันทร์-ศุกร์ แล้วก็ขอแนะนำว่าไปปลูกต้นไม้ดีกว่าเพราะปลาที่คุณเลี้ยงไว้นั้นมันพากันตายหมดแล้ว ก่อนเลี้ยงปลาต้องถามตัวเองก่อนว่ามีเวลาไหม และคนรอบข้างจะยินดีไหมที่คุณจะเลี้ยงปลา เพราะคนรอบข้างนั้นก็คือคนงานของคุณขณะเปลี่ยนน้ำตู้ปลา ถ้าเกิด คนงานสไตรท์ขณะเปลี่ยนน้ำไปได้ครึ่งเดียว ภาระทั้งหมดก็จะอยู่ที่คุณคนเดียวจริงๆ
                                                                                                                                               

ประวัติปลาหมอสี
แหล่งกำเนิด (Origin)
ปลาหมอสีเป็นปลาน้ำจืดที่อาศัยอยู่ในแม่น้ำ ทะเลสาบ หนองบึ่ง คูคลองต่างๆ โดยมีแหล่งกำเนิดจาก 2 กลุ่มใหญ่ๆ ในโลก คือ
กลุ่ม New world ปลาหมอสีที่พบในส่วนของโลกใหม่ ได้แก่ แถบอเมริกากลาง -ใต้ เช่น แท๊กซัสตอนใต ้ ลงมาจนถึงอาเจนตินาของอเมริกาใต้ ,คอสตาริกา ,นิการากัว , บราซิล, ลุ่มแม่น้ำอเมซ่อน, เกาะมาดากาสการ์ , เกาะศรีลังการ, ชายฝั่งทะเลตอนใต้ของอินเดีย ฯลฯ



          
               



            





  
ไก่ชนพม่า

                                            บทความไก่ชนพม่า คำศัพท์ที่ได้ยินบ่อย ๆ ในวงการไก่ชนภาคเหนือ
ถ้าท่านได้มีโอกาสที่จะได้ซื้อไก่กับคนทางภาคเหนือก็น่าจะลองเรียนรู้คำศัพท์ต่าง ๆ ไว้บ้างจะได้เข้าใจกัน ต้องขอออกตัวไว้ก่อนว่าผมไม่ใช่คนทางภาคเหนือหากสะกดผิดไปก็ขออภัยไว้ล่วงหน้า เอาเป็นว่าผมก็จะลองแนะนำคำที่น่าจะได้ยินกันบ่อย ๆ อาทิ เช่น
คำว่า ไก่ม่อ คำว่าม่อ หากมีคนทางเหนือบอกว่าจะขายไก่ที่ม่อมาก ๆ ให้ท่าน ก็อย่าเผลอไปคิดว่าเป็นไก่หม้อหรือไก่แกงนะครับ เพราะม่อในที่นี้ก็มีลักษณะความหมายว่าเป็นไก่ที่ตีถี่ขยันตีนั่นเอง
ถ้าหากเข้าสนามไก่ชนคำที่ได้ยินบ่อยน่าจะเป็น ไก่แป๊และ ไก่ก๊าน ซึ่ง ไก่แป๊ ก็หมายความว่า ไก่ชนะส่วนไก่ก๊านก็คือไก่ที่แพ้นั่นเอง
ในเรื่องของสีไก่ สีสาทุกท่านน่าจะพอรู้กันแล้ว แต่สีเทาทางเหนือเขาจะเรียกว่า สีหม่น ซึ่งทางภาคเหนือบางคนเขาจะถือกันเรื่องสีหม่นว่าตีตอนเย็น ๆ ไม่ดีมีโอกาสแพ้สูง


ไก่ชนพม่า

ไก่ชนพม่า

ไก่ชนพม่าเป็นคู่แข่งไก่ไทยมาตั้งแต่ค้นพบประวัติสายพันธุ์  แต่ที่โจทขานกันเห็นจะเป็นตำนานพระนเรศวร  ไก่พม่าถือเป็นไม้เบื่อไม้เมาไก่ไทย  ในปัจจุบันไก่พม่าแซงทางโค้งไก่ไทยด้วยความแม่น แทงแบบระเบิดเถิดเทิง ขยับเป็นแทง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น  แทงจัดอย่างเดียวไม่พอ  ต้องถามว่าแผลไหนด้วย  พม่าจึงมีช่องโหว่อยู่มากที่ไทยจะแซงกลับมาลบภาพปัจจุบันซึ่งไม่เลือกสีสรร  ละทิ้งชั้นเชิง  หันมาพิงเชือกเพียงอย่างเดียว

                 การเลี้ยงไก่พม่าตอนที่2

การเลี้ยงไก่พม่า
เทคนิคการเลี้ยงไก่สายเลือดพม่านั้น เป็น ที่ยอมรับกันในทุกวันนี้ว่า ไก่ที่เลี้ยงออกชนกันตามสนามต่างๆ ทั่ว ประเทศ เป็นไก่ลูกผสมและมีสายเลือดไก่พม่าเกิน 50 %ด้วยกัน ส่วนจะมีเลือดพม่ามากแค่ไหนนั้น บ้างน้อยบ้างมากก็แล้วแต่สูตรของใครของมันว่ากันไป บางคนก็มีสายเลือดพม่าเกิน 50%ขึ้นไปซึ่งส่วนมากจะเก่ง บางคนต่ำกว่า 50 %ลงมา การเลี้ยงไก่พม่าบางตัวก็ดูไม่รู้ว่าเป็นไก่ไทยแท้หรือลูกผสมกันแน่ ไก่พม่าหรือไก่สายเลือดพม่าเดิมทีก็เล่นกันทางภาคเหนือของประเทศ ไทยซะเป็นส่วนใหญ่ เท่าที่ผมรู้เขาเลี้ยงกันไม่นาน ปล้ำ 2-3 ครั้งก็นำออกชนกันแล้ว ไม่ปล้ำมากอันเพราะจะทำให้ไก่ซ้ำ เหมือนการเลี้ยงไก่ทางภาคกลาง กว่าจะออกชนต้องปล้ำไม่น้อยกว่า 8-9 อันขึ้น การเลี้ยงไก่พม่าทางภาคเหนือเขาเลี้ยงกันไม่นานก็ออกชน กะให้แข็งในสังเวียน พอตีไปได้1-2 เที่ยว ไก่ก็เริ่มแข็งและตีราคาแพงได้ ดังนั้นการเลี้ยงไก่พม่าหนุ่มๆ จึงมีสถิติชนะหลายไฟท์ติดต่อกัน เท่า ที่สอบถามคนเลี้ยงไก่พม่าดู เขาบอกว่าถ้าเลี้ยงนานหรือปล้ำมากมันจะ กรอบ ยิ่งฟิตซ้อมหนักจะทำให้ เนื้อตัวของมันตึง ไม่ค่อยตีไก่ ซึ่งตอนแรกๆ ผมก็ไม่เชื่อ แต่จากการเลี้ยงไก่พม่ามาหลายตัว ปรากฏว่าไก่พม่า ตัวที่มีฝีตีนดีๆ พอฟิตจัดเข้ามันจะไม่ค่อยตีไก่ พอปล่อยให้เดินกรง เล่นฝุ่นเล่นดิน จับมาปล้ำใหม่ ปรากฏว่ากลับ ตีดีเหมือนเดิม ซึ่งผมได้ทดลองหลายครั้งหลายตัวก็มีผลคล้ายกัน ดังนั้นเทคนิคการเลี้ยงไก่พม่า ควรทำดังนี้
1. การออกกำลังกาย ควรให้ปฏิบัติดังนี้ - บินกล่อง - วิ่งสุ่ม - ปล่อยกรงกว้างๆ และมีคอนให้บิน แต่อย่าให้สูงมากนัก 
2. การลงนวม ต้องดูนิสัยไก่ บางตัวไม่ชอบและไม่ควรลงนวมบ่อย ให้เหมาะสมควร 7-10 วันต่อครั้ง 
3. การล่อ ต้องดูนิสัยไก่ หากไม่จำเป็นจริงๆ เช่นออกกำลังโดยวิธีอื่นไม่เอา จึงค่อยใช้วิธีล่อ เพราะไก่พม่า ไม่ชอบให้คู่ต่อสู้อยู่สูงกว่า 
4. การลงขมิ้น หากไม่จำเป็นจริงๆ ก็ไม่ควรลง อาจจะลงครั้งแรกทั้งตัวสัก 1 ครั้ง ก็น่าจะพอ หลังจากนั้น หากยังอยากลงก็ควรทาเฉพาะใบหน้าและหน้าอกก็พอ นอกจากนี้มีข้อควรจำสำหรับการเลี้ยงไก่พม่า หรือไก่ที่มีสายเลือดพม่าตั้งแต่ 50 % ขึ้นไปคือ 1. อย่าปล้ำหรือลงนวมกับคู่ต่อสู้ที่เป็นไก่ถ่าย เพราะหากมันถูกตีเจ็บมันจะเข็ดและพาลดีดไก่ไปเลย 2. อย่าปล้ำหรือซ้อมคู่มากเกินไป 5-6 ยก ก็น่าจะพอ โดยครั้งแรกหาคู่ต่อสู้ใหม่ๆ เหมือนกัน ผิวพรรณดีกว่า อย่าหาญตี มิฉะนั้นอาจต้องมานั่งเสียใจ 3. ไก่พม่า ถ้าหัวปีกเริ่มโรย หรือขนปีกเคลื่อนขยายหรือเริ่มถ่าย หรือขนหมดมัน ไม่ควรนำออกตี เพราะมันจะอยู่ในช่วงเริ่มหลุดถ่าย ใจน้อย และหนีง่าย 
4. ไก่พม่า เวลาซ้อมหากเจอคู่ต่อสู้ตีตัว ตีเข้าหน้าอุดสามเหลี่ยมและหนอกคอ ควรรีบจับยอม มิฉะนั้นคราวต่อไปมันจะเข็ดและดีดไก่ เพราะแผลฝาก 
5. การเล่นไก่พม่า ควรเล่นในช่วงที่มันกำลังสดและมีอายุชนขวบแล้วดีที่สุด เพราะจิตใจมันจะ มั่นคงกว่าตอนที่เป็นหนุ่ม 8-9 เดือน 
ไก่พม่าหลักๆก็มีเท่านี้แหละครับ

        วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2552


        วิธี ดูสกุลไก่พม่า

วิธี ดูสกุลไก่พม่า นี่เป็นหัวข้อที่ผู้เขียนลืมมานานว่าจะเขียนหลายครั้งแต่ก็ลืม..วันนี้เลยขอ อธิบายสั้น ๆ เพื่อมือใหม่จะได้หัดเรียนรู้ครับ เกี่ยวกับไก่พม่า

      ไก่พม่าดั้งเดิมนั้น มีลักษณะที่เด่นชัดเป็นตัวของตัวเอง ไม่ใช่ไก่ชนที่เหมือนไก่ทั่วไป เพราะถือเป็นอีกสายพันธุ์หนึ่งที่สืบเชื้อสายมายาวนาน มีพันธุกรรมที่โดเด่นชัดเจน ดังนั้นไก่พม่าที่สกุลสูง ๆ บางท่านอาจละเลยลักษณะสำคัญไปจนทำให้การพัฒนาของเราผิดพลาดขาดทิศทาง ยิ่งในปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันว่า ไก่พม่าเลือดสูงไม่้อาจจะครองความยิ่งใหญ่ในสังเวียนได้ ในขณะที่พม่าลูกผสมสามารถยืนได้อย่างทรนง ดังนั้นพม่าที่ชนกันในปัจจุบันจึงเรียกว่าร้อยละ 90 เป็นลูกผสม

    เมื่อ ลูกผสมครองเมือง..เราในฐานะคนพัฒนาคนเลี้ยงก็ต้องดูออกว่าสกุลลุนชาติของ พม่าตัวไหนเลือดเข้มตัวไหนเลือดไม่เข้ม ..เพื่อจะพิจารณาต่อยอดได้ลูก ..เพราะถ้าเชื้อพม่าน้อยไปลีลาชั้นเชิงก็แปรเปลี่ยนไปมากทีเดียว..ดังนั้น ท่านก็ต้องถามตัวเองว่าชอบแบบไหน..อะไรคือสิ่งที่เราต้องการพัฒนา

    เมื่อเราได้ไก่พม่ามา 1 ตัว เราก็โปรดพิจารณาว่าไก่พม่าที่เราได้มาสกุลสูงเพียงใด โดยมีข้อพิจารณาดังนี้นะครับ 
1. ดูรูปทรง ถ้ารูปทรงเป็นไก่หางหกอกตั้ง มีแนวโนมไปทางไก่พม่ามากครับ พวกนี้จะจับไม่ยาว ลักษณะลำตัวกลม ๆ หน่อยครับ (ยกเว้นการยืนของแม่สะเรียงนะครับ)
2. ดูนิสัย ถ้าเปรียวมาก ชอบนอนที่สูง แสดงว่ามีเชื้อไก่พม่าสูงครับ
3. ดูน้ำขน ถ้าน้ำขนมันวาวแสดงว่าเลือดพม่า ขนพม่าแบ่งเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มที่มีขนดก และกลุ่มที่มีขนน้อยครับ แต่ที่เหมือนกันคือนำขนจะวาว
4. ดูลักษณะเฉพาะที่บ่งบอกความเป็นพม่าสูงคือ เล็บดำ เดือยดำ อันนี้คือลักษณะไก่พม่าเลือดสูงโดยแท้
5. ดูใบหางจะเป็นใบหางก้านใหญ่กระดกขึ้นและโค้งลงพองาม ปลายหางไม่แหลมเล็ก ถ้าหางตรง ๆ แบบไทยเราก็สันนิษฐานก่อนว่าลูกผสม ปลายหางแหลมยิ่งลูกผสม ชัดเจน (ยกเว้นลักษณะหางของแม่สะเรียงนะครับ)
6. ดูตาและดวงตา จะสดใสลอยกลอกกลิ้ง ถ้าตาลึกไม่ใช่ไก่พม่าครับ
7. ดูสีขนตามตัว ถ้ามีสีตามตัวแทรกเป็นสีเดียวกับสีสร้อยปรากฎชัดเจนแสดงว่าเลือดพม่าสูงครับ
เคล็ดลับไก่ชนพม่า 

เรารู้จักไก่พม่ามาพอสมควรแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการคัดเลือก การดูไก่พม่า และรายละเอียดอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับไก่พม่า ตอนนี้ เราจะมาดูกันในเรื่องเคล็ด
เมื่อจะนำไก่พม่าเข้าชนนั้น จะต้องปล้ำให้แข็ง
โดยธรรมชาติของไก่พม่าแล้ว จะเป็นไก่ยืนดินไม่แน่น รวมทั้งโครงสร้างไม่ใหญ่ เมื่อมาเจอกับโครงสร้างใหญ่แข็งแกร่งของ ไก่ไทยจึงมักจะเสียเปรียบแรงปะทะ หากปล้ำไปน้อยๆ มักจะยืนระยะไม่ค่อยอยู่ รวมทั้งน้ำเลี้ยงของไก่ไทยนั้นถือว่าอย่ในระดับ "แข็งเป็นน็อต" หากปล้ำไม่ถึงแล้วละก็มีโอกาสจะถูกน็อคในไม่กี่อัน ไก่พม่าที่จะนำเข้าชนนั้นควรอย่างยิ่งที่จะต้องปล้ำให้ได้ครบ 10 อัน ขึ้นไปเป็นอย่างน้อย แม้ว่าบางครั้งจะเห็นเซียนภาคเหนือนำมาปล้ำเพียง 2 - 3 อัน ก็เข้าชนแล้ว แต่ต้องอย่าลืมว่าไก่ที่เป็น คู่ต่อสู้นั้นก็เป็นไก่พม่าหรือลูกครึ่งพม่าด้วยกัน รวมทั้งยังผ่านการปล้ำมาน้อยเช่นกัน ข้อได้เปรียบเสียเปรียบจึงหมดไป แต่ถ้าหาก มาเจอไก่ไทยแล้วปล้ำมาไม่ถึงล่ะก็ โอกาสชนะแทบจะไม่มีเลยทีเดียว

   ควรปล้ำให้ได้หน้า (หนแตก) สัก 2 ครั้งเป็นอย่างน้อย
โดยปรกติแล้วไก่พม่าจะเป็นไก่ผิวบอบบาง ไม่แข็งแกร่งเหมือนไก่ไทยหรือไซ่ง่อน ดังนั้นการจะออกชนต้องปล้ำให้หน้าแตก เพิ่มความหนาของผิวหนังสัก 2 คร้งเป็นอย่างน้อย โดยเจ้าของต้องสังเกตว่าในการปล้ำแต่ละครั้งนั้น ไก่ของเราโดนตีหน้าแตกพอ ที่จะนับเป็นจำนวนครั้งได้หรือไม่ พูดง่ายๆ ก็คือ การปล้ำนั้นๆ ได้หน้าหรือเปล่า หากไม่ได้ หรือไม่โดนแผลที่หน้าเลย ก็ยังถือว่า หน้าไม่แตกและนับครั้งไม่ได้ ต้องหาโอกาสปล้ำใหม่ต่อๆ ไป หากไม่ปล้ำให้หน้าแตกเพิ่มความหนาแล้วล่ะก็โอกาสที่จะไปโดนตี หน้าเยิ้มเละในสังเวียนก็มีมาก นั้นหมายถึงโอกาสแพ้ก็จะมีสูงเช่นเดียวกัน
 ไก่ที่จะเข้าชน ต้องได้อายุหรือเป็นลูกแซมจะดีที่สุด
การที่จะนำไก่พม่าเข้าชนนั้น หากจะให้ดี ควรเลือกไก่ที่เป็นลูกแซม เพราะจะได้ทั้งอายุ เนื้อหนัง รวมทั้งด้านจิตใจที่ฮึกเหิม เต็มที่ สามารถที่จะใช้อาวุธได้อย่างรุนแรง แต่ถ้าหากเป็นลูกหนุ่มแล้ว จะเสียเปรียบคู่ต่อสู้เป็นอย่างมาก แม้จะเป็นไก่ในอายุเดียว กันก็ตาม เพราะนอกจากจะเสียเปรียบเรื่องกระดูกแล้ว ยังเสียเปรียบเรื่องผิวเนื้อหนัง และที่สำคัญคือเรื่องจิตใจ เพราะไก่ไทยนั้น จะชนนิ่งๆ ไม่ลุกลี้ลุกลนเหมือนไก่พม่า ซึ่งมีผลในด้านจิตวิทยาเป็นอย่างมากทีเดียว 

     เลี้ยงไก่พม่าควรให้กินเนื้อสัตว์
อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้ว ไก่พม่าเป็นไก่ที่มีโครงสร้างเล็ก ซึ่งความที่โครงสร้างเล็กนี้ ทำให้เกิดการเสียเปรียบแต่เราคงไม่ สามารถจะไปเพิ่มความใหญ่ของกระดูกที่ฝืนธรรมชาติได้เพราะเป็นพันธุกรรมที่มีมาแต่กำเหนิด แต่เราสามารถที่จะเพิ่มความ แข็งแกร่ง หนักแน่นให้กับกล้ามเนื้อในร่างกายได้โดยการเน้นที่อาหาร ดังนั้นในช่วงก่อนออกชนจึงควรที่จะให้กินเนื้อสัตว์เพื่อ เพิ่มโปรตีนเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหมู ไข่ หรือเนื้อวัว โดยต้มให้สุกแล้วป้อนให้ไก่กิน อย่างไรก็ดี การให้กินเนื้อนี้มีสิ่งที่ต้องพึงระวังก็คือไม่ควรจะเป็นเนื้อที่มีไขมันติดปน เพราะจะทำให้ไก่อ้วนเกิดความจำเป็น


 ิ      




       



       ในวงการผู้เลี้ยงนกกรงหัวจุกนั้น มักจะพูดกันว่า ถ้านกมีลักษณะที่ดี ก็จะร้องเสียงดี ซึ่งทำให้ทุกคน ยึดคำพูดนี้กัน เวลาเลือกนกกรงหัวจุก ที่จะมาเลี้ยงเพื่อการแข่งขัน โดยลักษณะนกกรงหัวจุก ที่เป็นมงคล มีอยู่ 12 ประการ ดังนี้
1. ส่วนของใบหน้า ใหญ่ รูปโครงสร้าง ใบหน้า ดูเหมือนสิงโต
2. หงอน จุกบนหัว ใหญ่ โคนจุกขนดก หนา ยาว ตั้งตรง ปลายแหลม ขนเรียบ ลู่ในแนวเดียวกัน ดำสนิท ปลาย โน้มเอียงไปข้างหน้าเล็กน้อย (ถ้าเป็นไก่ เรียกว่า หงอน นก เรียกว่า จุก)
3. นัยน์ตา ดุ หรือ หวาน คม ใส ไวต่อสิ่งสัมผัส ทั้งภายนอก ภายใน
4. สันปาก ใหญ่ หนา คมปาก ประกบกันสนิท  คล้ายสันปากนกเหยี่ยว หรือ นกอินทรี (จะงอยปาก ไม่งุ้มลงมาก เหมือนนกเหยี่ยว)
5. สีแต้มแดงที่หู หรือ หูแดงเข้ม ถึงเข้มมาก
6. สีแก้มขาวชัด ขนขึ้นดกหนาใหญ่ ขาวสะอาด หนวดดำ เส้นเล็ก ตัดหว่างสีแก้ม กับเคราใต้คาง
7. คอใหญ่ ขนเครา ขึ้นดกหนาฟูใหญ่ สร้อยคอดำสนิท หรือ ภาษานก เรียกว่า หมึกดำ หมึกดำสนิท ขนขึ้นดกหนา ใหญ่ ย้อยลงถึงข้างล่าง ถึงจรดก้น
8. โครงสร้างสัดส่วน ยาวใหญ่ สันทัด หน้าอกนูนใหญ่ ลักษณะจับดู หรือ มองดูด้วยตาเปล่า สง่า องอาจ
9. สีบัวใต้หางชัด สีแดงออกส้มๆ หรือ สีแสด บานถึงบานใหญ่
10. หางพัดยาว ปลายหางไม่แตก หางขาวดำ หรือ หางดำป้ายขาว 8 หาง หางดำปรอด 4 หาง รวมเป็น 12 หาง หางยาว หางไม่แตก เวลายืนด้วยอาการปกติ ปลายหางซ้อนกันในแนวเดียว
11. ลีลาท่ายืน เดิน สง่า สองขาจับมั่น ดูองอาจ สง่างาม เป็นนกใจเดียว เวลาสู้ สู้ไม่ถอย
12. เสียง นกดำน้ำเสียงดี เสียงดังฟังชัด จะเป็นนกเสียงเล็ก เสียงกลาง เสียงใหญ่ ได้ทั้งนั้น (เสียงไม่แหบพร่า) เหมาะเป็นนก พ่อพันธุ์ แม่พันธุ์
ที่มา : คู่มือนักเพาะ – นักเลี้ยง – นักเล่น นกกรงหัวจุก

  

กรงที่ใช้เลี้ยงนกกรงหัวจุก

นกกรงหัวจุก       กรงที่ใช้เลี้ยงนกกรงหัวจุก
      กรงของนกกรงหัวจุก มีหลายประเภท ขึ้นอยู่กับการใช้งาน ได้แก่ กรงรวม เป็นกรงขนาดใหญ่ สำหรับพักนกที่จับมาขาย  หรือ เป็นกรงสำหรับ ให้นกบินออกกำลังกาย , กรงเลี้ยงแบบธรรมดา , กรงให้นกผลัดขน , และ กรงที่นำไปแข่ง
ส่วนภายในกรง ก็ต้องมีวัสดุอุปกรณ์ ใส่ไว้ด้วย ได้แก่ ถ้วยใส่น้ำ ถ้วยใส่อาหาร ที่รองถ้วยน้ำ ที่รองถ้วยอาหาร ห่วงกลม สำหรับให้นกกระโดดเกาะ ตะขอ แขวนผักผลไม้ ใช้ติดในกรงนก 2 อันต่อ 1 กรง คอนเกาะ ถาดรองขี้นก หัวกรง ตะขอแขวนกรง ตุ้มขากรง ขันสำหรับให้นกอาบน้ำในกรง และนอกจากนี้ จำเป็นจะต้องมีผ้าคลุมกรงนก เพื่อไม่ให้นกตกใจ ต่อสิ่งรอบข้างที่แปลกใหม่ ป้องกันไม่ให้ลมโกรกถูกตัวนก หรือ ป้องกันไม่ให้ศัตรูมาทำร้าย
     กรงนกกรงหัวจุก มีหลากหลายรูปแบบ อาทิเช่น กรงแบบปัตตานี กรงแบบนราธิวาส กรงแบบนครศรีธรรมราช กรงแบบสิงค์โปร์ กรงทรงกลมแบบถังเบียร์ กรงแบบสุ่มไก่ กรงแบบทรงหกเหลี่ยม กรงแบบสี่เหลี่ยม กรงแบบทรงสี่เหลี่ยมธรรมดา กรงแบบทรงสี่เหลี่ยมดัดแปลง กรงแบบโดมมัสยิด ซึ่งปัจจุบัน ผู้เลี้ยงนกกรงหัวจุก ได้หันมาเล่นกรงด้วย เพราะอยากจะให้นกของตัวเอง อยู่ในกรงที่ดี รูปทรงสวย อีกทั้งเป็นหน้าเป็นตา ของเจ้าของนก และ เสมือนเป็นเฟอร์นิเจอร์ ประดับบ้านอีกด้วย โดยราคากรงของนกกรงหัวจุก นั้นมีราคาตั้งแต่หลักร้อย จนถึงหลักแสนบาทเลยทีเดียว


วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการเลี้ยงนกกรงหัวจุก

นกกรงหัวจุกวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการเลี้ยงนกกรงหัวจุก
การเลี้ยงนกกรงหัวจุก จำเป็นต้องมีวัสดุอุปกรณ์ ในการเลี้ยง เหมือนกับนกอื่นๆ ทั่วไปด้วย เพื่อให้นกกรงหัวจุก ได้รับอาหาร น้ำ และ ความสะดวก สบาย เมื่ออยู่ในกรง โดยวัสดุ อุปกรณ์ จะประกอบด้วย
1. กรง จะมีหลายขนาด ขึ้นอยู่กับการใช้งาน โดยจะแบ่งเป็นกรงรวม จะมีขนาดที่ใหญ่กว่า กรงอื่น เพราะจะเป็นกรง ที่ใช้สำหรับพักนก หรือ สำหรับ ให้นกบินออกกำลังกาย กรงเลี้ยงธรรมดา จะมีหลายรูปแบบ และกำลังเป็นที่นิยม ในการสะสม ของนักเลี้ยงด้วย ซึ่งบางกรง อาจจะมีราคาถูก หรือ แพง ขึ้นอยู่กับแบบกรง สำหรับให้นกผลัดขน และ กรงสำหรับนำนกไปสนามแข่งขัน
2. ถ้วยน้ำ ส่วนมากจะมีลักษณะเป็นทรงกลม คล้ายตุ่มน้ำเล็กๆ ซึ่งก็จะมี หลากหลายรูปแบบ และ ลวดลาย
3. ถ้วยอาหาร จะมีลักษณะเหมือนกับถ้วยน้ำ ซึ่งส่วนมาก นักเลี้ยง มักจะซื้อมาเป็นลวดลายเดียวกัน และ ให้เข้ากับกรง เพื่อความสวยงาม
4. ที่รองถ้วยน้ำ ถ้วยอาหาร จะเอาไว้สำหรับใส่ถ้วยน้ำ ถ้วยอาหาร แขวนไว้ในกรง ซึ่งจะมีหลายแบบด้วยกัน
5. ห่วงกลม จะมีลักษณะเป็นวงกลม ใส่ไว้เพื่อให้นกได้เกาะ ซึ่งมักจะติดไว้เหนือถ้วยน้ำ และถ้วยอาหาร

  

นกกรงหัวจุกที่ดีมีแววแข่งได้

นกกรงหัวจุกลักษณะนกกรงหัวจุกที่ดี มีแววแข่งได้
ลักษณะนกกรงหัวจุกที่ดี มีแวว ไม่มีกฏตายตัว เห็นมานักต่อนักแล้ว สวยแต่รูป จูบไม่หอม ก็มีให้เห็นเยอะแยะ หากจะดูนกกรงหัวจุก มีแววแล้ว ลักษณะเบื้องต้น จุก ต้องได้ส่วนกับรูปหน้า หน้าใหญ่ ท้ายทอยโหนกๆ เคราเยอะๆ หางสั้นๆ ตัวไม่จำเป็นต้องใหญ่ ขอให้ได้ส่วน หางรวบเป็นเส้นเดี่ยว ในเวลากระโดดและเกาะคอนหรือ ห่วง ตัว ตั้งแต่ปลายจุก ไปถึงหางโค้ง เป็นรูปวงพระจันทร์ มีน้ำเสียงห้าวๆ
นี่เป็นเคล็ดลับในการพิจารณาตัวนกกรงหัวจุก ที่มีแววเอาลงแข่ง ถือเป็นทัศนะส่วนตัว ก็แล้วกัน นกกรงหัวจุก ที่พร้อมจะแข่ง พี่เลี้ยงนกมา จะเข้าใจนกของตนเองได้ดี เพราะเลี้ยงมากับมือ จนเข้าไปอยู่ในใจของมันได้ เพราะนกกรงหัวจุกแต่ละตัว ลักษณะนิสัย แตกต่างกันออกไป แต่ในส่วนลึก ก็ลองพิจารณา ดังต่อไปนี้
1. ข้อนี้สำคัญ น้ำขนมันวาว สีเข้มปลายขน กลมมน ไม่แตกปลาย ทั้งขนหลังปีก และ ขนตัว เรียงเป็นระเบียบ ไม่แตกแถว
2. แววตาสดใส โดดเล่น หรือ มีกิจกรรมทำของมันทั้งวันในกรง ไม่นอนขนพอง
3. อาการคึกคักบางตัว เปิดผ้าคลุมตอนเช้าๆ ยังไม่ทันเอาอาหารเปลี่ยนใส่ให้ใหม่ มันก็ปล่อยออกมาเต็มๆ เสียง พอย้ายไปแขวนที่ประจำ ก็ริกหาเจ้าของเป็นพัลวัน


การฝึกสอนนกกรงหัวจุก

นกกรงหัวจุกการฝึกสอนนกกรงหัวจุก ให้ร้องเพลงอย่างถูกวิธี
การฝึกสอนนกกรงหัวจุก ให้ร้องเป็นเพลง  เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง สำหรับผู้เลี้ยงนกกรงหัวจุก เพราะเป็นหัวใจที่สำคัญอย่างยิ่ง คือ ต้องการให้นกกรงหัวจุก ร้องได้เป็นเพลง ตามที่ผู้เลี้ยงต้องการ  เพื่อจะได้นำนกกรงหัวจุก ไปเข้าแข่งขันเสียง ให้ได้รับชัยชนะกลับมา และนกที่ได้รับรางวัล ก็จะเป็นนกที่มีคุณค่า และมีราคา เป็นที่ชื่นชอบ ของผู้เลี้ยงนกกรงหัวจุก ทั่วไป การที่นกกรงหัวจุก จะร้องได้ดีหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับ
1. ตัวของนกกรงหัวจุกเอง 50% ว่าตัวนกมีความพร้อมหรือไม่ ในด้านร่างกาย สมบูรณ์ แข็งแรง มีจิตใจเบิกบาน และ ร่าเริง อารมณ์แจ่มใส
2. การฝึกสอนนก อย่างมีเทคนิค และวิธีการต่างๆ 50%
สำหรับการฝึกสอนนกกรงหัวจุก จากการเลี้ยง และ จากการไปคลุกคลี กับผู้เลี้ยงนก แต่ละคน ก็มีเทคนิค และวิธีการต่างๆ กัน ดังนี้
1. ให้นำนกกรงหัวจุกไปแขวนไว้ที่หน้าบ้าน หรือ ร้านขายน้ำชา กาแฟ ในตอนเช้า โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อฝึกนก ไม่ให้ตื่นและกลัว นกกรงหัวจุก จะได้คุ้นเคย กับคนแปลกหน้า หรือ เสียงพูดคุยกัน เสียงรถต่างๆ ที่ผ่านไปมา บนถนน เพราะโดยปกติแล้ว นกทุกชนิด มีสัญชาตญาณ ในการระแวง ถ้าหากไม่ฝึกให้คุ้นเคย และเวลาส่งนกกรงหัวจุก เข้าประกวดในสนามแข่งขัน ก็จะพบคนแปลกหน้า และมีเสียงรถ เสียงคนพูดคุยกัน เสียงคนเชียร์นก เวลากรรมการตัดสิน จะทำให้นกมีความเคยชิน ไม่มีการตื่นเต้น ตกใจ


ลักษณะเฉพาะของนกกรงหัวจุก

nokkronghuajuck2นกกรงหัวจุก มีชื่อเรียกทางการว่า นกปรอดหัวโขนเคราแดง หรือ นกพิซหลิว มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pycnonotus Jocosus เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองประเภทนกที่เพาะพันธุ์ได้ ตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535
วงศ์นกปรอด (Family Pycnonotidae) มีอยู่มากมายหลายชนิด
นกวงศ์นี้ มีถิ่นอาศัญอยู่ในแถบเอเชีย ในกลุ่มประเทศเมืองร้อน ที่มีอุณหภูมิร้อนชื้นสูง เช่น ประเทศจีน อินเดีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ลาว พม่า กัมพูชา และ ไทย ซึ่งจะพบเป็นนกเหล่านี้ ทุกภาคของประเทศ โดยเฉพาะ นกปรอดหัวโขนเคราแดง
1. นกปรอดหัวโขนเคราแดง
บ้างก็เรียกว่า ปรอดหัวโขนแก้มแดง มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Red whiskered Bulbul ชื่อวิทยาศาสตร์ ว่า Pycnonotus Jocosus ได้ชื่อตามลักษณะของตัวนกเอง เป็นต้นว่า หัวโขน หมายถึง บนหัวมีขนยาวเป็นจุก เหมือนการสวมหัวโขนเอาไว้ ส่วนที่ว่าเคราแดง ไม่น่าจะถูกต้อง จริงๆ แล้ว ส่วนที่เป็นสีแดง จะอยู่ใต้ดวงตา นิยมเรียกว่า หูแดง หรือ แก้มแดง นกชนิดนี้ มีชื่อเรียกตามภาษาท้องถิ่น อยู่มากมาย เช่น ภาคใต้ เรียกว่า นกกรงหัวจุก ภาคเหนือ เรียกว่า นกปริ๊ดจะหลิว หรือ พิชหลิว ส่วนภาคกลาง เรียกว่านกปรอดหัวจุก หรือ นกหรอดหัวโขน เป็นนกที่น่าดู ใครๆ ก็ชอบ อาศัยอยู่ตามป่าไร่


ประวัตินกกรงหัวจุก

nokkronghuajuck      ณ ปัจจุบันนี้ ต้องยอมรับว่า นกกรงหัวจุก มีกลุ่มผู้นิยม เพิ่มมากขึ้น เป็นจำนวนมาก ทำให้ ณ เวลานี้ ตลาดนกกรงหัวจุก มีมูลค่าเม็ดเงิน หลายสิบล้านบาท ยิ่งใครมีนกสวยและเก่ง แข่งชนะเลิศ เท่ากับมีเพชรเม็ดงาม เจิดจรัสแสงอยู่ในมือ ย่อมเป็นที่หมายปอง ของนักเลงนกและเซียนนก ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้ นกกรงหัวจุก กลายเป็นแหล่งทำรายได้ และ หลายต่อหลายคน ต่างก็สนใจ ที่จะเข้ามาเล่น มาเลี้ยง และ หลงเสน่ห์ เสียงทอง อันไพเราะ และ สีสัน ที่สวยงาม ของ นกกรงหัวจุก นั้นเอง
       ตามประวัติแล้ว นกกรงหัวจุก มีถิ่นอาศัย อยู่ในประเทศเขตร้อนชื้นสูง มักพบได้ตามประเทศในโซนเอเซีย คือ ประเทศอินเดียตอนใต้ ประเทศมาเลเซีย ประเทศจีน ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศเวียดนาม ประเทศลาวตอนใต้ เขตติดกับไทย แถบจังหวัดเลย และจังหวัดหนองคาย ประเทศกัมพูชา และประเทศไทย สำหรับประเทศไทย มักพบนกชนิดนี้ ได้ทุกภาค ตั้งแต่ภาคเหนือ จนถึง ภาคใต้
        นกกรงหัวจุก นี้จะเป็นนกที่มีชื่อเสียงดี ในการแข่งขัน การประกวด ประชันเสียง กว่านกอื่นๆ เนื่องจากเป็นนกที่มีเสียงอันไพเราะ และมีเพลงเสียงร้อง ที่หลากหลาย เสียงเพลง กว่านกอื่นๆ แต่ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับการเลี้ยง ว่าผู้เลี้ยงจะดูแล เอาใจใส่ นกกรงหัวจุก ได้ดีมากน้อย เพียงใด หรือ ที่เรียกว่า มือน้ำเลี้ยง  นั้นเอง                                                                                                                                                                        
      นกกรงหัวจุก ที่นำมาแข่งขันประชันเสียง กันนั้น มีตำนานเล่าสืบต่อกันมา และมีหนังสือบางเล่ม ได้เขียนเอาไว้ว่า ชนชาติแรก ที่นำนกกรงหัวจุก มาเลี้ยง คือ ชาวจีน เมื่อประมาณ พ.ศ.2410 คนจีน ได้นำ นกกรงหัวจุก มาเลี้ยงแทน นกโรบิ้น ที่คนจีนส่วนใหญ่ นิยมนำมาใส่กรง พาเดินไปตามถนน หรือ นั่งร้านกาแฟ  หรือ ไปหาเพื่อนๆ ที่รู้ใจ และเลี้ยงนกเหมือนกัน และ เจ้านกโรบิ้น มักจะเป็นนกที่ตกใจง่าย และ ตื่นคน บางครั้ง ตกใจมาก จนถึงขั้นช๊อคตายคากรง ดังนั้น จึงเป็นเหตุให้ ชาวจีน หันมาเลี้ยงนกปรอทหัวจุก หรือ นกกรงหัวจุก

         
         
           



       กระต่าย (อังกฤษHare, Rabbit) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อันดับกระต่าย (Lagomorpha) ในวงศ์ Leporidae
กระต่ายแม้จะมีฟันแทะเหมือนกับสัตว์ฟันแทะ (Rodentia) แต่ถูกจัดออกมาเป็นอันดับต่างหาก เนื่องมีจำนวนฟันที่ไม่เท่ากัน เพราะกระต่ายมีฟันแทะที่ขากรรไกรบน 2 แถว เรียงซ้อนกันแถวละ 2 ซี่ ฟันกรามบนข้างละ 6 ซี่ และฟันกรามล่างข้างละ 5 ซี่ เมื่อเวลาเคี้ยวอาหาร กระต่ายจะใช้ฟันทั้ง 2 ด้านเคี้ยวสลับกันไป ต่างจากสัตว์ฟันแทะโดยทั่วไปที่เคี้ยวเคลื่อนหน้าเคลื่อนหลัง ซึ่งสามารถเขียนเป็นสูตรได้ว่า  (1\tfrac{2}{2},C\tfrac{0}{0},P\tfrac{3}{2},M\tfrac{2}{3}) X 2 = 28
กระต่ายเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนาดเล็ก มีขนปุกปุยทั่วลำตัว มีหางกลมสั้น มีใบหูยาวเมื่อเทียบกับสัตว์อื่น ซึ่งวิวัฒนาการมาใช้สำหรับฟังเสียงได้เป็นอย่างดี และยังมีประสาทสัมผัสในการดมกลิ่นที่ดีมาก กระต่ายมีขาหน้าที่มี 5 นิ้ว ขาหลังมี 4 นิ้ว มีสะโพกที่ยาวและทรงพลัง เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ จึงสามารถกระโดดได้เป็นอย่างดี ใต้ฝ่าเท้ามีขนนุ่ม ๆ รองรับอยู่ เพื่อมิให้เกิดเสียงเมื่อเคลื่อนไหว เป็นสัตว์ที่ตื่นตกใจง่ายและมีความว่องไวปราดเปรียวมากในการระแวดระวังภัย นอกจากนี้แล้วตาของกระต่ายยังมีหนังตาหรือเปลือกตาถึง 3 ชั้นด้วยกัน[1]
  กระต่ายเป็นสัตว์ที่กินพืชเป็นอาหารเท่านั้น ต่างจากสัตว์ฟันแทะที่กินได้ทั้งเนื้อและพืช อาหารของกระต่ายได้แก่ หญ้าและพืชผักชนิดต่าง ๆ อายุขัยโดยเฉลี่ยของกระต่ายจะอยู่ที่ 2-3 ปี นับเป็นสัตว์ที่สืบพันธุ์เร็วมาก โดยปีหนึ่ง ๆ กระต่ายสามารถออกลูกได้ถึง 2-3 ครั้ง ครั้งละประมาณ 2-3 ตัว กระต่ายในธรรมชาติ มักอาศัยอยู่ในที่ราบโล่งที่เป็นทุ่งหญ้ามากกว่าป่าทึบ โดยขุดโพรงใต้ดินเป็นรังและที่อยู่อาศัย ลูกกระต่ายป่าในธรรมชาติ เมื่อแรกเกิดจะลืมตา และในวันรุ่งขึ้นก็สามารถวิ่งและกระโดดได้เลย เมื่อกระต่ายตัวเมียจะคลอดลูก จะแยกออกจากรังเดิมไปขุดรังใหม่ เพื่อป้องกันลูกอ่อนจากกระต่ายตัวผู้ ซึ่งอาจฆ่าลูกกระต่ายเกิดใหม่ได้ โดยจะกัดขนตัวเองเพื่อปูรองรับลูกใหม่ที่จะเกิดขึ้นมา
   กระต่ายกระจายพันธุ์ไปในทุกภูมิภาคทั่วโลก ไม่เว้นแม้กระทั่งเขตอาร์กติก ยกเว้นโอเชียเนียและทวีปออสเตรเลีย แบ่งออกได้เป็น 11 สกุล (ดูในตาราง) [2] ในประเทศไทยพบเพียงชนิดเดียว คือ กระต่ายป่า(Lepus peguensis)
  กระต่ายโดยธรรมชาติ เป็นสัตว์ที่อยู่สุดปลายของห่วงโซ่อาหาร ด้วยเป็นอาหารของสัตว์กินเนื้อชนิดต่าง ๆ เช่น หมาป่าหมาจิ้งจอกแมวป่าเสือชนิดต่าง ๆ, หมาในชะมดเพียงพอน รวมถึงงูขนาดใหญ่ด้วย เช่น งูหลามและงูเหลือม [3] กระต่ายเป็นสัตว์ที่ผูกพันกับมนุษย์มาเป็นเวลานาน ด้วยการเป็นสัตว์ที่ถูกล่าเพื่อเป็นอาหารและเกมกีฬาโดยเฉพาะในแถบทวีปยุโรป ในเชิงวัฒนธรรมและความเชื่อ ชาวตะวันตกเชื่อว่า การพกขากระต่ายจะนำมาซึ่งโชคดี ชาวจีนและชาวญี่ปุ่นเชื่อว่า กระต่ายเป็นเทพเจ้าแห่งดวงจันทร์ มีหน้าที่ปรุงยาอายุวัฒนะ เป็นสัตว์เลี้ยงของฉางเอ๋อ เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ การมอบรูปลักษณ์ของกระต่ายจึงถือเป็นการมอบความปรารถนาให้โชควาสนาให้แก่กัน[4]
นอกจากนี้แล้วในทางโหราศาสตร์ กระต่ายยังเป็นตัวแทนของนักษัตรลำดับที่ 4 คือ ปีเถาะ ที่ใช้สัญลักษณ์เป็นกระต่าย [5]
  ในปัจจุบัน กระต่ายได้กลายมาเป็นสัตว์เลี้ยงของมนุษย์ทั้งในแง่ของการเป็นสัตว์เลี้ยงสวยงาม และสัตว์เศรษฐกิจเพื่อรับประทานเนื้อ โดยกระต่ายชนิดที่นำมาพัฒนาสายพันธุ์จนเป็นสัตว์เลี้ยงนั้น โดยมากจะเป็นชนิด กระต่ายยุโรป (Oryctolagus cuniculus) ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในทวีปยุโรป[6] ซึ่งกระต่ายสายพันธุ์สวยงามนั้นก็มีด้วยกันหลากหลายมากมาย โดนยมีขนาดแตกต่างกันออกไปตามขนาดลำตัว อาทิ เนเธอร์แลนด์ดวอฟโปลิช แรทบิทฮอลแลนด์ลอป ซึ่งเป็นกระต่ายขนาดเล็ก และอิงลิชลอป ที่เป็นกระต่ายขนาดใหญ่ เป็นต้น

       

      

12 สายพันธุ์สุนัขที่แพงที่สุดในโลก!

 เป็นสุนัขสายพันธุ์ที่ใหญ่บิ๊กเบิ้มมากๆ ค่ะ สุนัขสายพันธุ์นี้ทั่วโลกรู้จักในฉายา Big Splash  ลักษณะนิสัยของสุนัขพันธุ์นี้คือซื่อสัตย์ สงบ และมีอัธยาศัยดี มาสทิฟสายพันธุ์ธิเบตที่ตัวใหญ่ที่สุดเมื่อยืนจะสูง 31 นิ้ว และมีน้ำหนักมากสุดสูงถึง 100 กิโลกรัมเลยทีเดียว  บางตัวมีราคาสูงถึง $1,500,000 หรือประมาณ 52,500,000 บาทไทยเลยค่ะ (โอ้!! แพงสุดยอดเลย)

Dogilike.com :: ยลโฉม 12 สายพันธุ์สุนัขที่แพงที่สุดในโลก!

2. French Mastiff (เฟรนช์ มาสทิฟ) 
ราคาอยู่ที่ $3,000 หรือประมาณ 150,000 บาทไทย

     เฟรนช์ มาสทิฟเป็นสุนัขที่รูปร่างสูง สง่างาม และแข็งแรง โดยปกติเมื่อสุนัขยืนจะมีความสูง 24 นิ้ว และน้ำหนักมากกว่า 45 กิโลกรัม เป็นที่นิยมของมหาเศรษฐี ซึ่งการเลี้ยงสุนัขพันธุ์นี้จะบ่งบอกถึงฐานะ และรสนิยมของผู้เลี้ยงนั่นเองค่ะ

Dogilike.com :: ยลโฉม 12 สายพันธุ์สุนัขที่แพงที่สุดในโลก!

3. Pembroke Welsh Corgi  (เพ็มโบรค  เวลช์ คอร์กี้)
 ราคาอยู่ที่ $1,000 หรือประมาณ 35,000 บาทไทย

     เพ็มโบรค  เวลช์ คอร์กี้ หรือ คอร์กี้ ที่เรารู้จักกันเป็นสุนัขสายพันธุ์ราชวงศ์อังกฤษ สุนัขสายพันธุ์นี้มีชื่อเสียงมากเพราะเป็นที่โปรดปรานของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งอังกฤษ ราคาของเจ้าคอร์กี้นี้อาจจะมากกว่าหรือน้อยกว่านี้ ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ และสายเลือดของมันค่ะ

Dogilike.com :: ยลโฉม 12 สายพันธุ์สุนัขที่แพงที่สุดในโลก!

4. Saluki (ซาลูกิ) 
ราคาอยู่ที่  $2,500 หรือประมาณ 87,500 บาทไทย

     ซาลูกิ หรือที่เรารู้จักในนาม อาราเบียน กาเชล ฮาวด์  (Arabinan Gazelle Hound) เป็นสุนัขล่าเนื้อพันธุ์หนึ่งของอียิปต์ ลักษณะผอม สูง ขายาว หน้าแหลม หูเป็นขนคล้ายพู่  สง่างาม เป็นที่นิยมมาก ราคาขึ้นอยู่กับลักษณะ และขนของมัน 

Dogilike.com :: ยลโฉม 12 สายพันธุ์สุนัขที่แพงที่สุดในโลก!

5. Chow Chow (เชา เชา)
ราคาอยู่ที่  $1,000-$8,500 หรือประมาณ 35,000 - 297,500 บาทไทย

     เชาเชา เป็นสุนัขที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน มันมีฉายาที่ผู้คนทั่วโลกต่างขนานนามคือ สิงโต นั่นก็เพราะเชาเชาเป็นสุนัขที่มีพละกำลังเยอะ คล่องแคล่วว่องไว ตัวอ้วนกลม ตื่นตัวอยู่เสมอ มีขนหนารอบคอ สง่างาม มีความเป็นมิตร อัธยาศัยดี จุดเด่นของสุนัขสายพันธุ์นี้คือ ลิ้นของมันซึ่งจะมีสีเทาไปถึงดำ ส่วนสีขนที่ได้รับความนิยมคือ สีดำ น้ำตาล แดง

Dogilike.com :: ยลโฉม 12 สายพันธุ์สุนัขที่แพงที่สุดในโลก!
6. Egyptian Pharaoh Hound (อียิปต์ ฟาโรห์ ฮาวด์)
ราคาอยู่ที่   $2,500-$6,500 หรือประมาณ 87,500 - 227,500 บาทไทย

     ต้นสายพันธุ์ของสุนัขอียิปต์ ฟาโรห์ ฮาวด์เป็นสุนัขล่าสัตว์ สุนัขพันธุ์นี้ขึ้นชื่อเรื่องความซื่อสัตย์เป็นที่สุด เป็นสุนัขสายพันธุ์หายาก ลักษณะผอมบาง ปราดเปรียว กระฉับกระเฉง มีหูเหมือนค้างคาว  เหมาะที่จะเลี้ยงในพื้นที่กว้าง โล่ง 

Dogilike.com :: ยลโฉม 12 สายพันธุ์สุนัขที่แพงที่สุดในโลก!
7.Old English Bulldog (โอลด์ อิงลิช บูลด็อก) 
ราคาอยู่ที่  $2,500- $9,000 หรือประมาณ 87,500 – 315,000บาทไทย

     โอลด์ อิงลิช บูลด็อกมีลักษณะเด่นที่ใบหน้า คือหน้าของสุนัขพันธุ์นี้จะย่นย้อย สีหน้าของเจ้าโอลด์ อิงลิช บูลด็อกจะดูไม่พอใจ และยากที่จะเข้าใจตลอดเวลา แต่ความจริงแล้วสุนัขสายพันธุ์นี้เป็นสุนัขที่อ่อนหวาน ขี้เล่น และจริงใจ โอลด์ อิงลิช บูลด็อกได้กลายเป็นที่นิยมอย่างมากในช่วงปีที่ผ่านมา

Dogilike.com :: ยลโฉม 12 สายพันธุ์สุนัขที่แพงที่สุดในโลก!
8. Canadian Eskimo Dog (แคนนาเดียน เอสกิโม ด็อก)
 ราคาอยู่ที่   $7,000 หรือประมาณ 245,000 บาทไทย

     แคนนาเดียน เอสกิโม  เป็นสุนัขสายพันธุ์หนึ่งที่หายากมาก มีจำนวนน้อยกว่า 500 ตัวในทวีปอเมริกาเหนือ แคนนาเดียน เอสกิโม  เป็นสุนัขที่เหมาะสำหรับการผจญภัย  แต่ไม่เหมาะอยู่ในพื้นที่ที่มีอากาศร้อน เพราะมันเป็นสุนัขที่ขี้ร้อนมาก

Dogilike.com :: ยลโฉม 12 สายพันธุ์สุนัขที่แพงที่สุดในโลก!

9. Lowchen  (โลเชน) 
ราคาอยู่ที่   $5,000-$8,000 หรือประมาณ  150,000 – 280,000 บาทไทย

     ในอดีตสุนัขพันธุ์นี้เป็นพันธุ์ที่ชนชั้นสูงในยุโรปเลี้ยงกัน  มันมีลักษณะคล้ายสิงโตจึงมีฉายาว่า สิงโตน้อย โลเชนเป็นสุนัขที่มีขนาดตัวเล็ก กะทัดรัด มีขนยาว และนุ่ม สีขนจะแตกต่างกันออกไป โลเชนเป็นสุนัขที่อารมณ์ดี เป็นมิตร มีชีวิตชีวา และร่าเริง 

Dogilike.com :: ยลโฉม 12 สายพันธุ์สุนัขที่แพงที่สุดในโลก!

10. Cavalier King Charles Spaniel  (คาวาเลียร์ คิง ชาร์ลส์ สแปเนียล)
ราคาอยู่ที่   $1,000-$14,000 หรือประมาณ  35,000 – 490,000 บาทไทย

     คาวาเลียร์ คิง ชาร์ลส์ สแปเนียล เป็นพันธุ์สุนัขขนาดเล็กที่มีลักษณะเหมือนตุ๊กตา ขนยาวปานกลาง มีหูยาวและขนหยิก ชื่อของสายพันธุ์ตั้งตาม พระเจ้าชาลส์ที่ 2 แห่งประเทศอังกฤษ  สุนัขพันธุ์นี้มีนิสัยเป็นมิตร และเข้ากับเด็กๆ ได้ดี

Dogilike.com :: ยลโฉม 12 สายพันธุ์สุนัขที่แพงที่สุดในโลก!

11. German Shepard (เยอรมันเชฟเฟิร์ด)
 ราคาอยู่ที่  $1,000 หรือประมาณ 35,000 บาทไทย

      เยอรมันเชฟเฟิร์ดเป็นอีกหนึ่งในสายพันธุ์ที่นิยมมากที่สุด เยอรมันเชฟเฟิร์ดเป็นที่ต้องการจึงทำให้สุนัขพันธุ์นี้มีราคาแพง และด้วยลักษณะนิสัยที่เป็นมิตร ร่างกายที่แข็งแรงจึงนำไปฝึกเป็นสุนัขตำรวจ โดยสุนัขสายพันธุ์นี้ถ้าผ่านการฝึกแล้วจะมีราคาสูงถึง $50,000 หรือประมาณ 1,750,000 บาทไทย เลยทีเดียวจ้า

Dogilike.com :: ยลโฉม 12 สายพันธุ์สุนัขที่แพงที่สุดในโลก!
12. Samoyed (ซามอยด์)
 ราคาอยู่ที่  $4,000-$11,000 หรือประมาณ 140,000 -  385,000 บาทไทย
     
     ซามอยด์ เป็นสุนัขหน้ายิ้ม มีความเป็นมิตร ทำหน้าที่เห่าเตือนเป็นสุนัขเฝ้ายามที่ดี สายพันธุ์นี้นิยมนำไปฝึกเป็นนักแสดง และเป็นสัตว์เลี้ยงที่ดูทันสมัย  ถ้าเป็นสุนัขสายพันธุ์ดี สายพันธุ์แท้ ราคาจะสูงถึง $11,000 หรือประมาณ 385,000 บาทไทยเลยจ้า